ย้อนกลับไปปี 2000 ทุกคนเคยคิดว่า “ดอทคอม” คืออนาคตที่ไม่มีวันตาย บริษัทที่ลงท้ายด้วย .com ราคาพุ่งเหมือนจรวด แม้แต่ธุรกิจขายสัตว์เลี้ยงออนไลน์ก็มีมูลค่าสูงกว่าบริษัทรถยนต์ แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายภายในคืนเดียว เหมือนฟองสบู่แตกกระจาย
เหตุการณ์นี้สอนเราว่า “ไม่มีอะไรเฟื่องฟูตลอดไป”
ฟองสบู่ดอทคอมทำให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดว่าธุรกิจที่ร้อนแรงเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อนักลงทุนเริ่มตื่นตัวว่าธุรกิจหลายแห่งไม่มีรายได้จริง แค่มีเว็บไซต์ก็ประเมินมูลค่าเป็นพันล้าน ตลาดหุ้นNASDAQ ร่วง 78% ภายใน 2 ปี แต่ในซากปรักหักพังนั้น กลับมีบริษัทอย่าง Amazon ที่รอดมาได้ เพราะปรับตัวตามจังหวะเวลา
15 ปีต่อมา… “คริปโตเคอร์เรนซี” มาแรงไม่แพ้กัน
ปี 2017 ทุกคนพูดกันว่า “บล็อกเชนจะเปลี่ยนโลกการเงิน” Bitcoin พุ่งถึง 20,000 ดอลลาร์ มีคนขายบ้านลงทุน แต่ปี 2022 ตลาดคริปโตหายไป 2 ล้านล้านดอลลาร์ เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
แต่คราวนี้แตกต่างตรงที่เทคโนโลยีบล็อกเชนไม่ได้หายไปกับฟองสบู่ ธนาคารใหญ่ๆ เริ่มใช้ระบบนี้ในการโอนเงินระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าแม้เทรนด์จะเปลี่ยน แต่เทคโนโลยีดีๆ จะอยู่รอดหากใช้ในจังหวะที่เหมาะสม
ปี 2023: AI กลายเป็นพระเอกใหม่
ChatGPT เปิดตัวเพียง 5 วันมียูสเซอร์ 1 ล้านคน ตลาด AI โตถึง 1,597 ล้านล้านบาทในปี 2030 แต่หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่จะเป็นฟองสบู่ลูกใหม่หรือไม่?”
คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับเวลา”
บริษัทที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือพัฒนาธุรกิจเดิม เช่น ใช้วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับปรุงบริการ จะอยู่รอดแม้เทรนด์เปลี่ยน แต่บริษัทที่สร้างธุรกิจ 100% บน AI โดยไม่มีแผนสำรอง อาจเจอชะตากรรมเหมือนดอทคอม
3 บทเรียนสำคัญจากประวัติศาสตร์
- อย่าวิ่งตามเทรนด์แบบตาบอด – ศึกษารายละเอียดให้ลึกก่อนตัดสินใจ
- มองหาคุณค่าที่แท้จริง – เทคโนโลยีที่แก้ปัญหาจริงจะอยู่รอด
- เตรียมแผนรับมือทุกสถานการณ์ – แม้แต่ Google ยังมีโปรเจกต์ลับไว้ทดสอบนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา
แล้วเทรนด์ต่อไปจะมาเมื่อไหร่?
ผู้เชี่ยวชาญจาก MIT ชี้ว่าปี 2030 อาจเป็นยุคของ Quantum Computing แต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือ “การเข้าใจจังหวะเวลา” + “การปรับตัวทันท่วงที” จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจนี้