การวิเคราะห์ความเป็นส่วนตัวทางสมอง: เทคโนโลยีใหม่กับสิทธิมนุษยชน

ศาสตราจารย์ Nita Farahany ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและเทคโนโลยีประสาทวิทยา ได้ร่วมสนทนากับ Azeem Azhar ในรายการ Exponentially เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถอ่านหรือควบคุมสภาวะทางจิตใจของมนุษย์ได้

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ผมเห็นว่าการแบ่งปันคลิปนี้จะมีคุณค่าต่อผู้ที่สนใจเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัวทางสมอง และผลกระทบของเทคโนโลยีใหม่ต่อสิทธิมนุษยชน

สรุปสาระสําคัญจากคลิป

  • เทคโนโลยีที่สามารถอ่านหรือควบคุมสภาวะทางจิตใจกําลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญใน 5 ปีที่ผ่านมา
  • เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยผู้ป่วยอัมพาตควบคุมอวัยวะได้ และรักษาภาวะซึมเศร้า
  • แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ถูกนําไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสอบสวนตํารวจ และการเฝ้าติดตามในโรงเรียน
  • มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ทําให้สามารถอ่านความคิดของมนุษย์จากสัญญาณสมองได้
  • ศาสตราจารย์ Nita Farahany เสนอแนะสิทธิทางปัญญา (Cognitive Liberty) เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวทางสมอง
  • สิทธิทางปัญญาควรรวมสิทธิในการเข้าถึงและเปลี่ยนแปลงสมอง รวมถึงสิทธิที่จะไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัวทางสมอง

ขั้นตอนจากคลิป

ไม่มีขั้นตอนชัดเจนในคลิปนี้ แต่มีการอธิบายถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอ่านและควบคุมสมอง ดังนี้

  • EEG (Electroencephalography) – วัดสัญญาณไฟฟ้าจากสมอง
  • FMRI – เครื่องสแกนสมองที่สามารถสร้างภาพสมองได้
  • AI – ปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยแปลความหมายของสัญญาณสมอง
  • fNIRS – เทคนิควัดการไหลเวียนของเลือดในสมอง

คํากล่าวของศาสตราจารย์ Nita Farahany

“I believe that a right to cognitive liberty as an international human right, a right to self-determination over our brains and mental experiences would give us both a right to access and change our brains if we choose to do so, but also a right from interference with our mental privacy and our freedom of thought.”

ผมเชื่อว่าสิทธิทางปัญญาในฐานะสิทธิมนุษยชนระดับสากล ซึ่งเป็นสิทธิในการกําหนดชะตากรรมตนเองเกี่ยวกับสมองและประสบการณ์ทางจิตใจ จะให้เราทั้งสิทธิในการเข้าถึงและเปลี่ยนแปลงสมองของเราเองหากเราเลือกที่จะทําเช่นนั้น และยังให้สิทธิที่จะไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัวทางสมองและเสรีภาพทางความคิดของเราด้วย

ทรัพยากรที่กล่าวถึง

  • EEG (Electroencephalography) – เครื่องมือสําหรับวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง
  • FMRI – เครื่องสแกนสมองแบบใช้แม่เหล็ก
  • AI – ปัญญาประดิษฐ์ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากสมอง
  • fNIRS – เครื่องมือตรวจวัดการไหลเวียนเลือดในสมองแบบไร้สาย
  • UN Declaration of Human Rights – ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนโดยองค์การสหประชาชาติ

คําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และปัญญาประดิษฐ์ ผมเห็นว่าเราควรตระหนักถึงผลกระทบของเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อความเป็นส่วนตัว สิทธิ และเสรีภาพของมนุษย์ การนําเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสมและรับผิดชอบจะช่วยให้เราได้ประโยชน์สูงสุดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ยังคงธํารงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา การผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิทางปัญญาเป็นเรื่องสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่ง

คําถามที่พบบ่อย

คําถาม: เทคโนโลยีการอ่านใจเหล่านี้ทํางานอย่างไร

คําตอบ:

เทคโนโลยีการอ่านใจทํางานโดยการวัดและวิเคราะห์สัญญาณทางชีวภาพต่างๆ จากสมอง เช่น สัญญาณไฟฟ้าสมอง EEG การไหลเวียนของเลือดในสมอง fMRI เป็นต้น จากนั้นนําข้อมูลเหล่านี้มาป้อนเข้าสู่อัลกอริทึมและเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อฝึกให้ระบบสามารถแปลความหมายของสัญญาณเหล่านั้นได้ เช่น สัญญาณชุดนี้แสดงถึงอารมณ์สนุกสนาน สัญญาณอีกชุดหนึ่งแสดงถึงความเครียด เป็นต้น จนในที่สุดระบบก็สามารถทํานายอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดของมนุษย์ได้จากการอ่านสัญญาณเหล่านั้น

คําถาม: เทคโนโลยีการอ่านใจมีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง

คําตอบ: เทคโนโลยีการอ่านใจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดี

  • ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตใจ
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้
  • ช่วยคนพิการควบคุมอุปกรณ์ช่วย

ข้อเสีย

  • อาจถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การโฆษณาหลอกลวง การเฝ้าติดตาม
  • กระทบต่อความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในความคิด
  • ข้อมูลอาจรั่วไหลและถูกนําไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

คําถาม: มีวิธีการอย่างไรบ้างที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวทางสมอง

คําตอบ: วิธีการปกป้องความเป็นส่วนตัวทางสมอง ได้แก่

  • สร้างกฎหมายคุ้มครองสิทธิทางปัญญาโดยเฉพาะ
  • กําหนดมาตรฐานและจริยธรรมสําหรับบริษัทเทคโนโลยี
  • ให้ผู้ใช้มีสิทธิเข้าถึงและควบคุมข้อมูลส่วนตัว
  • เข้มงวดในการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลสมอง
  • เพิ่มความตระหนักรู้แก่ประชาชน

คําถาม: ประเทศไทยควรมีมาตรการอย่างไรในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางสมอง

คําตอบ: ประเทศไทยควรมีมาตรการต่อไปนี้ในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางสมอง:

  • ออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะข้อมูลชีวภาพ เช่น ข้อมูลสมอง
  • จัดตั้งหน่วยงานกํากับดูแลเทคโนโลยีสมองโดยเฉพาะ
  • กําหนดมาตรฐานจริยธรรมสําหรับองค์กรที่พัฒนาเทคโนโลยีสมอง
  • ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการเข้าถึงและคัดค้านการใช้ข้อมูล
  • เพิ่มการรณรงค์สร้างความตระหนักให้ประชาชน

คําถาม: ทําไมการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางสมองจึงมีความสําคัญ

คําตอบ: การคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางสมองมีความสําคัญ เพราะ:

  • สมองและความคิดเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่สุดของบุคคล
  • การถูกแทรกแซงสมองโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทบต่อศักดิ์ศรีและเสรีภาพของมนุษย์
  • ข้อมูลสมองอ่อนไหวสูง หากรั่วไหลจะส่งผลกระทบรุนแรง
  • เทคโนโลยีสมองมีลักษณะสองนัย สามารถนําไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย
  • ป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของบุคคล

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *